เลือกซื้อพัดลม และใช้อย่างไรให้ประหยัดไฟ
เปิดยาวๆไม่ต้องแคร์หน้าร้อน!
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอากาศของประเทศไทยนั้นแสนร้อนสาหัส... โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ขนาดนั่งอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนก็ยังทำให้เหงื่ออาบกายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การเลือกพัดลมดีๆสักเครื่องที่นอกจากจะให้สายลมที่เย็นสบายให้รู้สึกสดชื่นกาย ยังจำเป็นที่จะต้องประหยัดไฟฟ้าเพื่อให้สบายใจควบคู่กันไปด้วย ถ้าหากใครกำลังมองหาพัดลมประหยัดไฟดีๆสักเครื่องแล้วไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไร รวมไปถึงการใช้อย่างไรจึงจะช่วยประหยัดค่าไฟให้น้อยลงมากกว่าเดิม รับรองว่าบทความชิ้นนี้จะมีคำตอบให้กับคุณอย่างแน่นอน...
เลือกซื้อพัดลมป้ายแดงอย่างไร ที่จะช่วยประหยัดไฟที่สุด!?
1เลือกพัดลมที่ได้รับการรับรองโดยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นเครื่องหมายที่ได้รับการรับรองจากหลายกระทรวงว่า มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอย่างมากในการช่วยประหยัดพลังงาน และลดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนให้น้อยลงมากกว่าฉลากประหยัดไฟแบบอื่นๆได้มากที่สุด
2เลือกพัดลมให้เหมาะกับการใช้งานช่วยประหยัดไฟมากกว่าที่คิด
บางคนมีห้องขนาดใหญ่แต่ซื้อพัดลมตัวเล็กทำให้รู้สึกร้อนจนต้องไปซื้อมาเพิ่มอีก หรือบางคนมีห้องขนาดเล็กแต่กลับใช้พัดลมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ความไม่สมดุลเหล่านี้ เป็นการผลาญจำนวนเงินค่าไฟฟ้าในกระเป๋าไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น การเลือกซื้อพัดลมให้เหมาะกับการใช้งานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเลยทีเดียว
3เลือกพัดลมที่ตั้งเวลาเปิด-ปิด ได้ ช่วยประหยัดไฟ
หลายคนชอบเปิดพัดลมทิ้งเอาไว้ เพื่อรับลมเย็นในขณะที่นอนหลับ แต่การเปิดพัดลมตลอดทั้งคืน ก็เป็นสิ่งที่ทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟเช่นกัน ดังนั้น การเลือกพัดลมที่สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิด ได้ จึงช่วยประหยัดไฟฟ้าได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
4เลือกพัดลมตั้งพื้น ประหยัดพลังงานมากกว่าพัดลมเพดาน
หลายคนอาจปลื้มกับพัดลมเพดาน เพราะมีใบพัดขนาดใหญ่ที่เมื่อเปิดใช้งานทั้งห้องก็จะมีอากาศที่เย็นสบายได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยทราบก็คือ พัดลมเพดานมีการใช้ไฟฟ้ามากกว่าพัดลมตั้งพื้นถึงเท่าตัวเลยทีเดียว
5เลือกพัดลมที่มีเครื่องหมาย มอก.
พัดลมที่มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง (มอก.) เป็นการช่วยการันตีว่าพัดลมเครื่องนั้นได้รับมาตรฐานความปลอดภัย มีความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน และไม่สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า
6เลือก Smart Fan หรือพัดลมที่มีเซนเซอร์อัจฉริยะ
ในปัจจุบันเทคโนโลยีของพัดลมได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก และที่น่าสนใจหนึ่งในนั้นก็คือ Smart Fan ที่จะทำการตอบสนองและปรับระดับความแรงของพัดลมต่ออุณหภูมของห้องโดยอัตโนมัติ และยังปิดตัวเองถ้าหากในห้องไม่มีใครอยู่ จากการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า พัดลมประเภทนี้ช่วยลดประหยัดพลังงานได้มากขึ้น 4-11% เลยทีเดียว
เคล็ดลับในการใช้พัดลมอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยในการประหยัดไฟมากขึ้น
1เปิดประตู หน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ช่วยประหยัดค่าไฟได้
การเปิดประตู หรือหน้าต่าง เพื่อให้อากาศภายนอกเกิดการระบายถ่ายเท เป็นการช่วยให้พัดลมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องปรับลมให้แรงขึ้นแต่อย่างใด (ถ้าหากทำได้)
2ปรับความแรงของพัดลมอย่างเหมาะสมช่วยประหยัดไฟ
การเปิดใช้งานพัดลมด้วยความเร็วสูงสุดตลอดเวลา ทั้งที่อากาศในห้องไม่ร้อนมากนัก เป็นการเร่งการทำงานของพัดลมที่เกิดพอดี นอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้าโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้พัดลมเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วมากขึ้นด้วย
3เสียบปลั๊กพัดลมทิ้งเอาไว้ ทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า
หลายคนอาจคิดว่าเมื่อไม่ใช้งานพัดลม เพียงแค่ปิดสวิตช์เอาไว้ก็พอแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วหากยังคงเสียปลั๊กเอาไว้ แม้พัดลมจะไม่ได้ทำงานก็จะยังคงมีไฟฟ้าวิ่งไหลเวียนผ่านเข้าไปในเครื่องอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดการสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้ามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แถมยังช่วยให้ปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจรได้อีกด้วย โดยเฉพาะกับพัดลมที่มีการควบคุมด้วยรีโมท
4หมั่นทำความสะอาดพัดลมให้สะอาดเอี่ยมอยู่เสมอ
เมื่อใช้งานพัดลมเป็นเวลานานมักที่จะมีคราบสกปรก ฝุ่น และอื่นๆมาติดอยู่กับพัดลมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณของแกนหมุน แผงหุ้มมอเตอร์ และฝาครอบด้านหน้า ทำให้พัดลมต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่าเป็นการทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้ามากขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
5ตรวจสอบใบพัดอย่าให้เกิดการโค้งงอผิดส่วน
หมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่าส่วนของใบพัดไม่มีการโค้งงอผิดส่วนผิดรูปไปจากปกติ เพราะถ้าหากใบพัดเกิดการโค้งงอจะทำให้กำลังลมที่ถูกพัดออกมาลดน้อยลงไปด้วย ทำให้จำเป็นต้องเปิดพัดลมให้แรงขึ้นอีก ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย
6ใช้พัดลมร่วมกับเครื่องปรับอากาศช่วยประหยัดไฟมากกว่า
การเปิดพัดลมร่วมกับเครื่องปรับอากาศสามารถช่วยประหยัดไฟฟ้าได้มากกว่าการปล่อยให้เครื่องปรับอากาศทำการลดอุณหภูมิของห้องเพียงลำพัง เนื่องจากพัดลมจะช่วยทำหน้าที่ในการช่วยเพิ่มความเร็วลม ทำให้อากาศเกิดการเคลื่อนที่ ส่งผลให้เกิดการระบายความร้อนออกจากร่างกาย จึงเกิดความรู้สึกเย็นสบายมากขึ้นในขณะที่อุณหภูมิของห้องยังคงเท่าเดิมนั่นเอง