การเลือกซื้อตู้เย็นมือสองอย่างฉลาด
ต้องได้ขนาด ราคา รูปร่าง และความประหยัดไฟ
ตู้เย็นมือสอง... เป็นหนึ่งในตัวเลือกในการเป็นเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีราคาที่ประหยัดมากกว่าตู้เย็นใหม่แล้ว หากเลือกเป็น เลือกถูก รับรองว่าการได้เป็นเจ้าของตู้เย็นมือสองนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากแต่อย่างใด ถ้าหากใครกำลังให้ความสนใจกับตู้เย็นมือสองอยู่ล่ะก็ ขอแนะนำให้ทำการอ่านบทความชิ้นนี้ให้จบ รับรองว่าจะช่วยให้คุณเลือกซื้อตู้เย็นมือสองได้อย่างเชี่ยวชาญในระดับโปรเลยทีเดียว
ข้อดีที่น่าสนใจของตู้เย็นมือสอง
หลายคนอาจมองว่าของมือสองเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ที่จริงแล้วตู้เย็นมือสองมีข้อดีหลายประการเช่นกัน นอกจากเรื่องของราคาที่ประหยัดลงอย่างมากแล้ว ในบางครั้งหากทำการเลือกได้อย่างเหมาะสมก็จะได้รับตู้เย็นมือสองที่มีประสิทธิภาพที่ไม่น้อยหน้าไปกว่ามือหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
ราคาของตู้เย็นมือสองในปัจจุบัน (2019) อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่กัน!?
หลายคนอาจสงสัยว่าตู้เย็นมือสองในปัจจุบัน ราคาอยู่ที่ประมาณเท่าใด เพื่อใช่เป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าควรจะซื้อตู้เย็นใหม่มือหนึ่ง หรือตู้เย็นมือสองดีกว่ากัน ดังนั้น ในวันนี้ บทความชิ้นนี้จึงได้ทำการรวบรวมราคาของตู้เย็นมือสองแบบคร่าวๆ จากเว็บไซต์จำหน่ายสินค้ามือสองผ่านทางออนไลน์ยอดนิยมอย่าง Kaidee.com โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ตู้เย็นมือสองขนาด 5.9 คิว = ราคาประมาณ 1800-3300 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 6 คิว = ราคาประมาณ 1500- 3500 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 6.6 คิว = ราคาประมาณ 2800 - 4500 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 6.7 คิว = ราคาประมาณ 2700 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 6.8 คิว = ราคาประมาณ 2900 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 9 คิว = ราคาประมาณ 3000 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 18 คิว = ราคาประมาณ 8500 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 18.6 คิว = ราคาประมาณ 7900 - 10000 บาท
- ตู้เย็นมือสองขนาด 18.9 คิว = ราคาประมาณ 11000 บาท
เลือกซื้อตู้เย็นมือสองให้ได้คุณภาพที่ปังโดนใจ
1เลือกตู้เย็นมือสองที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อตู้เย็นมือสองคือ ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่จะช่วยให้รายจ่ายในส่วนของค่าไฟฟ้าในแต่ละปีลดลงอย่างมากเลยทีเดียว เพราะตู้เย็นมือสองฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 กินไฟฟ้าประมาณ 220 หน่วย / ปี หรือเสียค่าไฟฟ้าประมาณปีละ 573 บาท เท่านั้น แต่ถ้าหากจำเป็นจริงๆก็สามารถเลือกตู้เย็นมือสองที่มีฉลากประหยัดไปในอันดับรองลงมาก็ได้เช่นกัน
2เลือกตู้เย็นมือสองโดยสังเกตรายละเอียดทั่วไป
การเลือกตู้เย็นมือสองควรสังเกตโดยรอบให้ถี่ถ้วน โดยต้องมีเครื่องหมายในการผลิต รุ่น กำลังไฟ การบรรจุภายใน และวันที่ทำการผลิตอย่างชัดเจน
3เลือกตู้เย็นมือสองที่มีใบรับประกันสินค้า
ใบรับประกันสินค้า เป็นเอกสารที่ช่วยทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นว่าตู้เย็นมือสองที่กำลังสนใจเป็นของแท้ โดยเฉพาะตู้เย็นมือสองที่ยังใช้งานมาไม่นานและยังอยู่ในระยะของการรับประกัน ก็จะยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเลยทีเดียว เพราะถ้าหากเครื่องมีปัญหา ชำรุด เสียหาย ก็ยังสามารถใช้สิทธิ์ในการประกันเครื่องได้นั่นเอง
4เลือกตู้เย็นมือสองที่ใช้กำลังไฟฟ้า 220-330 โวลต์
กำลังไฟฟ้า 220-230 โวลต์ เป็นกำลังไฟที่มีความเหมาะสมในการใช้งานกับพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งบางครั้งตู้เย็นมือสองที่นำมาจำหน่ายอาจเป็นเครื่องน้ำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นทำให้มีความต้องการกำลังไฟฟ้าที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ขอแนะนำให้ทำการตรวจสอบให้ดีเสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้นอาจไม่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม
5เลือกตู้เย็นมือสองที่ฉนวนกันความร้อนแบบหนา
ตู้เย็นมือสองที่มีฉนวนกันความร้อนหนาชนิดโฟมอัด สามารถช่วยในการกักเก็บความเย็นได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากสามารถกักเก็บความเย็นได้ดี นั่นหมายความว่าจะช่วยในการประหยัดค่าไฟฟ้าให้น้อยลงได้เป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
6ตู้เย็นมือสองจากขนาดความจุที่เหมาะสมกับการใช้งาน
การเลือกตู้เย็นมือสองที่มีขนาดความจุที่เหมาะสมกับสมาชิกของครอบครัว เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อให้สามารถทำการจุสิ่งของที่ต้องการแช่เย็นได้อย่างเหมาะสม โดยสามารถทำการพิจารณาเพื่อเลือกกซื้อตู้เย็นมือสองโดยอ้างอิงจากจำนวนสมาชิกของครอบครัวได้โดยประมาณ ดังต่อไปนี้
- ครอบครัวที่มีสมาชิก 2 คน ควรเลือกซื้อตู้เย็นมือสองขนาดอย่างน้อย 2.5 คิว ขึ้นไป
- ครอบครัวที่มีสมาชิก 3-4 คน ควรเลือกซื้อตู้เย็นมือสองขนาด 12-18 คิว
- ครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คน ขึ้นไป ควรเลือกซื้อตู้เย็นมือสองขนาด 15 คิว ขึ้นไป
7เลือกประเภทของตู้เย็นมือสองที่เหมาะกับพื้นที่
การเลือกซื้อตู้เย็นมือสองควรทำการเลือกซื้อให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ในการใช้งาน โดยอิงจากคำแนะนำ ดังต่อไปนี้กันได้เลย
- ห้องขนาดเล็ก หอพัก หรือคอนโด : ควรเลือกตู้เย็นมือสองขนาดเล็ก
- บ้านทั่วไป : ควรเลือกตู้เย็นมือสองแบบ 1 ประตู ที่มีช่องแช่ธรรมดา และช่องแช่แข็งรวมกัน
- ห้องครัวที่มีพื้นที่จำกัด : ตู้เย็นแบบสองประตูที่ทำการเปิดแบบซ้าย-ขวา
- บ้านขนาดเล็ก : ตู้เย็นแบบสองประตู ที่มีช่องแช่แข็งด้านล่าง
- ซื้อของเข้าบ้านจำนวนมาก : ตู้เย็นแบบหลายประตู ที่มีการแบ่งสัดส่วนอาหารสด และแช่แข็งอย่างชัดเจน
- ชอบประหยัดพลังงาน : ตู้เย็นมือสองแบบประตู 4 บ่น และอีก 2 บาน ซ้อนเอาไว้ด้านบน เพื่อช่วยให้หยิบของเล็กน้อยได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดประตูตู้เย็นจนหมด
8เลือกตู้เย็นมือสองจากคุณสมบัติพื้นฐาน
การเลือกตู้เย็นมือสองควรทำการเปิดเพื่อดูดีไซต์ภายในด้วยว่ามีความน่าสนใจมากเพียงใด และสามารถจัดวางแช่ของได้อย่างง่ายดายหรือไม่ โดยทำการพิจารณาผ่านรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ชั้นวาง : สามารถถอดเข้าออกได้ ปรับตำแหน่งได้
- ลิ้นชักของช่องแช่ : ควรมีการแยกช่องภายใน เพื่อช่วยให้มีความเหมาะสมกับการแช่อาหาร
- ช่องผักและผลไม้ : สามารถควบคุมความเย็น และความชื้นได้อย่างเหมาะสม
- ชั้นวางด้านข้าง : ขนาดกว้างขวาง สามารถวางขวดน้ำขนาดใหญ่ได้
9เลือกตู้เย็นมือสองจากฟังก์ชันเสริม
คุณสมบัติเพิ่มเติมในการใช้งานของตู้เย็นมือสองในแต่ละแบรนด์ แต่ละรุ่นแล้วแล้วแต่ไม่เหมือนกัน แต่โดยหลักการแล้ว มีคุณสมบัติบางประการที่ควรให้ความสนใจ ดังต่อไปนี้
- ระบบทำความเย็นคู่ : ช่วยกระจายลมเย็นในช่องแช่แข็งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ระบบกรองอากาศ : แบบคาร์บอนในตัว เพื่อช่วยในการลดกลิ่นอับภายในตู้เย็นในน้อยลง
- แผงควบคุมการทำงาน : ช่วยในการตั้งค่าอุณหภูมิ ล็อกความเย็น เช็กตัวกรอง และระดับน้ำต่างๆของตู้เย็นมือสอง
- ระบบประหยัดพลังงาน : ช่วยทำให้ตู้เย็นมือสองทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น